วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เนื้อหาของงานพร้อมแผนที่


View Larger Map

เวลาโลก http://www.watchari.com/wordtime.html
เจดีย์ชเวดากอง http://maps.google.com/maps?hl=en&q=%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87&um=1&ie=UTF-8&sa=N&tab=wl
อุณหภูมิ http://thai.wunderground.com/

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

โรคร้ายในปัจจุบัน>โรคเบาหวาน_>

สมุนไพรบำบัดและรักษาโรคเบาหวาน
สมุนไพรได้เข้ามามีบทบาทในการรักษาและควบคุมความรุนแรงของโรคที่มีผลต่อสุขภาพชีวิตของคนไทยได้หลายๆโรค เบาหวานก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่สามารถใช้สมุนไพรในการควบคุมความรุนแรงของโรคได้
เตยหอม(ทั้งใบและราก) กับ ใบของต้นสักทอง
เตยหอมเอาทั้งใบและราก ล้างให้สะอาดตัดส่วนของใบสักทองและใบเตยหอมอย่างละเท่าๆ กันเอามาคั่วให้เหลือง ส่วนรากเตยหอมไม่ต้องคั่วแต่เอามาทุบให้แตกแล้วใส่ทั้ง 3 อย่างลงในหม้อต้ม ใช้น้ำยารับประทานแทนต่างน้ำทุกวันประมาณ ๑ เดือน อาการก็จะดีขึ้น(หรือจะทำเป็นชาดื่มก็ได้)
เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือเป็นสมุนไพรที่นักวิทยาศาสตร์พบว่ามีสารสำคัญทางยาที่ลดน้ำตาลในเลือดได้คือ สารที่อยู่ในกลุ่มของโพลีแซ็กคาไรด์ ได้แก่ กาโนเดอแรน เอ บี และ ซี (Ganoderans A,B,C,) ช่วยลดน้ำตาลในกระแสเลือดทำให้มีการเพิ่มขึ้นของสารอินซูลินซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานให้แก่ร่างกายปัจจุบันได้มีการจดสิทธิบัตรสารสำคัญในเห็ดหลินจือ คือกาโนเดอแรน เอ บี และ ซี(Ganoderans A,B,C,) ทำเป็นยารักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีข้อบ่งชี้ใช้ลดน้ำตาลในเลือด
มะระขี้นก
มะระขี้นกเป็นผักพื้นบ้านที่มีคุณประโยชน์แก่ร่างกายสูงทั้งด้านคุณค่าทางอาหาร คือ พลังงาน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย วิตามิน A, B1, B2, C ไนอาซีน และไทอามีน นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ทางยา คือ ลดน้ำตาลในเลือด (แก้โรคเบาหวาน) รักษาโรคเอดส์ และต้านเชื้อ HIV ต้านมะเร็ง ใช้เป็นยาถ่าย แก้ไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำมีรสขมช่วยให้เจริญอาหารมีสาร charantin ช่วยลดน้ำตาลในเลือดสามารถบำบัดโรคเบาหวานได้และมะระยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี ไนอาซีน และเบต้าแคโรทีนอยู่ในระดับสูงผลอ่อนของมะระขี้นกให้วิตามินซีและเบต้าแคโรทีนสูงมะระขี้นกลดน้ำตาลในเลือด รักษาโรคเบาหวานในการรับประทานมะระขี้นกให้หั่นเนื้อมะระตากแห้งชงน้ำดื่ม ถ้าต้องการกลบรสขมให้เติมใบชาลงไปด้วยขณะที่ชงดื่มต่างน้ำชา นอกจากนี้น้ำต้มผลมะระสามารถลดการเกิดต้อกระจกซึ่งเป็นอาการข้างเคียงในคนที่เป็นโรคเบาหวานได้สิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษคือ การรับประทานเมล็ดซึ่งมีสารกลุ่มไพริมิดีนนิวคลีโอไซด์ที่ชื่อว่าไวซิน (Vicine) อาจจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ เป็นไข้ ปวดท้อง และอาการโคม่าได้ ดังนั้นพึงระลึกว่าเมล็ดของมะระขี้นกอาจมีพิษหากจะนำผลมะระขี้นกมาทำยารับประทานต้องแกะเมล็ดออกเสมอ
อบเชย
อบเชยมีสารที่สำคัญคือ เมธิลไฮดรอกซี่ ซาลโคน โพลิเมอร์ (Methylhydroxy Chalcone Polymer หรือ MHCP) ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติและความสามารถในการทำงานคล้ายกับฮอร์โมนอินซูลิน คือช่วยเพิ่มความสามารถในการสันดาปกลูโคสให้ได้มากขึ้นจึงมีผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงและจะไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงได้ถ้ามีการรับประทาน "อบเชย""อย่างต่อเนื่องเป็นประจำการใช้อบเชยควบคุระดับน้ำตาลในเลือดนั้นจะมีความปลอดภัยมากว่าการใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด เพราะสามารถรับประทานได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่เกิดผลข้างเคียงกับร่างกายแต่อย่างใดโดยภายใน1 วันควรรับประทาน"อบเชย"อย่างน้อย 1 กรัม และให้รับประทานอย่างต่อเนื่องทั้งนี้ให้ผู้ป่วยทำการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยควบคู่ไปด้วย
บอระเพ็ด
บอระเพ็ด มีสาร N-trans-feruloyth-ramine, N-cis-feruloyltyramine, tinotuberide, phytosterol และ Picroretin สรรพคุณทางยาของบอระเพ็ดคือระงับความร้อนได้ดีสามารถแก้อาการเป็นไข้ช่วยลดคลอเลสเตอรอล ลดน้ำตาลในเลือด ลดกรดยูริค ช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหารและยังช่วยให้เจริญอาหาร ป้องกันโรคหัวใจช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวได้ดีขึ้นการต้านอนุมูลอิสระ รศ.ดร.งามผ่อง คงคาทิพย์ หัวหน้าโครงการสมุนไพรหน่วยปฏิบัติการผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและเคมีอินทรีย์สังเคราะห์ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า โครงการวิจัยค้นหาคุณสมบัติของสารสกัดสมุนไพรบอระเพ็ด (Tinospora crispa) มีความคืบหน้าอย่างมากขณะนี้สามารถระบุชนิดของสารสำคัญในบอระเพ็ดที่ออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้แล้ว และทดสอบไม่พบความเป็นพิษเฉียบพลันขณะนี้อยู่ระหว่างทดสอบความเป็นพิษเรื้อรังในหนูทดลอง "เมื่อผลทดสอบไม่พบพิษเฉียบพลัน หมายความว่าเราสามารถรับบริโภคสดได้ ส่วนพิษเรื้อรังนั้นได้ทดสอบมาแล้ว 4 เดือน เหลืออีกประมาณ 2 เดือน จึงจะสรุปผลได้ว่าการบริโภคบอระเพ็ดต่อเนื่องทุกวันจะก่ออันตรายต่อตับและไตหรือไม่ นอกจากนี้ เรายังพบอีกว่าบอระเพ็ดจากสุพรรณบุรี พิจิตร ศรีสะเกษ มีคุณสมบัติรักษาเบาหวานดีกว่าบอระเพ็ดจากสระแก้ว" รศ.ดร.งามผ่อง กล่าวสาเหตุที่เลือกวิจัยบอระเพ็ดเนื่องจากเป็นสมุนไพรที่ระบุอยู่ในตำรับยาไทยมากสุดโดยมีสรรพคุณที่ชัดเจน 4 ด้าน คือ บำรุงหัวใจ ลดไข้ เจริญอาหารและลดน้ำตาลในเลือด รศ.ดร.งามผ่อง กล่าว "ลำต้นแก่จะมีสารกลุ่มอัลคาลอยด์มากกว่าลำต้นอ่อนซึ่งช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจห้องบนขวาและซ้ายได้ดีขณะเดียวกันไม่เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ จากปกติยารักษาโรคหัวใจจะเพิ่มทั้งแรงบีบตัวกล้ามเนื้อหัวใจและอัตราการเต้นของหัวใจด้วย ดังนั้น ถ้าได้ยาที่ไม่เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจจะเป็นยาที่ดีกว่ายารักษาโรคหัวใจที่มีอยู่ปัจจุบันจึงคาดหวังว่า 2 โครงการวิจัยข้างต้นน่าจะพัฒนาเป็น "ยาเสริม" สำหรับคนไข้เบาหวานและโรคหัวใจ"

สามารถค้นได้http://www.alternativecomplete.com/alternative1.php

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552

โรคร้ายในปัจจุบัน>โรคเบาหวาน_>


การรักษาโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นหลายอย่างดังนั้นเราจึงต้องมีการดูแลรักษาโดยมีเป้าหมายในการควบคุมโรคเบาหวานที่สำคัญดังนี้
1. เพื่อให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดกลับเป็นปรกติหรือใกล้เคียงปรกติมากที่สุด
2. เพื่อลดอุบัติการของภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังของโรคเบาหวาน แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานก็คือ ต้องไม่มีผลข้างเคียงจากการรักษาหรือถ้ามีก็ให้มีผลข้างเคียงจากการรักษาน้อยที่สุดสำหรับหลักในการรักษาโรคเบาหวานนั้น มีอยู่ 3 ประการซึ่งต้องใช้ควบคู่กันไปได้แก่
1. การควบคุมอาหาร (dietary management) ทำโดยจำกัดปริมาณพลังงานหรือแคลอรีให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยคือ น้ำหนักตัว (body weight) และ กิจกรรมที่ทำ (physical activity) และกำหนดสัดส่วนอาหารให้เหมาะสมซึ่งโดยทั่วไปแบ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 55-60,โปรตีนร้อยละ 15-20 และไขมันร้อยละ 25-30ส่วนใหญ่แล้วอาหารควรจะมีเส้นใยพืช (fiber) มากแต่ให้มีไขมัน
2. การออกกำลังกาย (exercise) ที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายชีวิตประจำวันชนิดของโรค เบาหวานและยารักษาโรคเบาหวานที่ได้รับอยู่ สำหรับการออกกำลังกายที่ดีนั้นควรเป็นการออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ร่างกาย เช่น วิ่ง , ว่ายน้ำ เพราะทำให้เกิดกระบวนการหายใจแบบใช้ออกซิเจน (aerobic respiration) ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดกรดแลคติคที่ทำให้กล้ามเนื้อล้าเร็วและควรออกกำลังกายนานอย่างน้อย 20-30 นาที สัปดาห์ละอย่างน้อย 3 ครั้ง
3. การใช้ยา แบ่งเป็น
- ยาฉีด คือ อินสุลิน (insulin)
- ยากินรักษาโรคเบาหวาน
ต่อไปก็จะขอกล่าวถึงยาที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวานพอเป็นสังเขปดังนี้
อินสุลินมีเฉพาะยาฉีดเท่านั้นแต่ต่อไปในอนาคตจะมีการนำชนิดพ่นทางจมูกมาใช้แล้วจะได้ไม่ต้องเจ็บตัวอีกไง อินสุลินในรูปยาฉีดนี้จะมีทั้งฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ (intravenous injection) , ฉีดเข้ากล้าม (intramuscular injection) และฉีดเข้าใต้ชั้นผิวหนัง (subcutaneous injection) การฉีดอินสุลินมีข้อดีตรงที่หลังจากฉีดแล้วอินสุลินจะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดของร่างกาย (systemic circulation) ได้เลยโดยไม่ต้องผ่านตับทาง portal vein ทำให้อินสุลินไม่ถูกตับทำลายไปเสียก่อนเพราะอินสุลินถูกทำลายได้โดยตับและไตอินสุลินในรูปยาฉีดนี้ได้ถูกจัดอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ.2542 ซึ่งเป็นบัญชียาสำหรัโรงพยาบาลและสถานบริการสาธารณสุขด้วยยกเว้น insulin lispro ซึ่งเป็นอินสุลินในรูปยาฉีดที่ออกฤทธิ์ได้เร็วกว่าชนิดอื่นและใช้ได้สะดวกแต่ไม่ได้จัดไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ.2542 อินสุลินออกฤทธิ์ที่สำคัญ ดังนี้
1. กระตุ้นให้มีการขนส่งกลูโคสเข้าเซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน และกระตุ้นให้มีการเก็บสะสมกลูโคสในรูปของกลัยโคเจน (glycogenesis) และยับยั้งการสลายกลัยโคเจน (glycogenolysis)
2. กระตุ้นการสังเคราะห์สารคีโตน (ketogenesis) และสังเคราะห์กลูโคส (gluconeogenesis)
3. เพิ่มการขนส่งกรดไขมันเพื่อนำไปสังเคราะห์ triglyceride (lipogenesis) และยับยั้งการสลาย triglyceride (lipolysis) ของเซลล์ไขมัน
4. เพิ่มการขนส่งกรดอะมิโนเพื่อสังเคราะห์โปรตีนในเซลล์และลดการสลายโปรตีนของกล้ามเนื้ออินสุลินที่มีใช้ในปัจจุบันมีความแตกต่างกันในเรื่องระยะเวลาการออกฤทธิ์ , แหล่งกำเนิด , ความ บริสุทธิ์ของยาและความเข้มข้นดังนั้นจึงได้มีการแบ่งอินสุลินตามระยะเวลาของการออกฤทธิ์เป็น 3 กลุ่มคือ
1. อินสุลินที่ออกฤทธิ์สั้น (short-acting insulin) ได้แก่ regular insulin (RI) เป็นกลุ่มที่ออกฤทธิ์เร็ว (rapid onset) แต่ระยะเวลาการออกฤทธิ์สั้น (short duration) มักใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะสารคีโตนคั่ง(ketoacidosis) รุนแรง หรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
2. อินสุลินที่ออกฤทธิ์ปานกลาง(intermediate-acting insulin)ได้แก่ NPH(neutral protamine Hagedorn) insulin และ lente insulin
3. อินสุลินที่ออกฤทธิ์นาน (long-acting insulin) ได้แก่ ultralente insulin เป็นกลุ่มที่ออกฤทธิ์ช้า (slow onset) และระยะเวลาในการออกฤทธิ์ยาว (long duration) นิยมใช้เพื่อให้มีระดับความเข้มข้นของอินสุลินต่ำๆตลอดทั้งวัน

อินสุลิน สามารถใช้ได้หลายกรณี ดังนี้
1. type 1 diabetes
2. type 2 diabetes ในกรณีที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยการควบคุมอาหารและยารักษาโรคเบาหวานชนิดกิน
3. ผู้ป่วยโรคเบาหวานภายหลังผ่าตัดตับอ่อน (postpancreatectomy diabetes mellitus)
4. ผู้ป่วยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus)
5. ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะสารคีโตนคั่ง (diabetic ketoacidosis;DKA)
6. ผู้ป่วยที่มีอาการโคม่าเนื่องจากมีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงแต่ไม่มีสารคีโตนคั่ง (hyperglycemic , nonketotic coma)
7. ใช้ในช่วงของการผ่าตัด (perioperative period) ในคนที่เป็นโรคเบาหวานทุกชนิดนอกจากอินสุลินจะมีประโยชน์ในการรักษาโรคเบาหวานแล้วยังมีผลข้างเคียงที่ต้องพึงระวังได้แก่
1. ภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดอาจเกิดได้จากการให้อินสุลินในระยะเวลาที่ไม่เหมาะสม เช่น ขณะออกกำลังกาย ซึ่งจะมีระดับน้ำตาลในเลือดลดลงแล้วมี การให้อินสุลินเข้าไป ก็ยิ่งทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำยิ่งขึ้น หรืออาจเกิดจากมีภาวะผิดปกติอย่างอื่นเช่น ต่อมหมวกไตเสื่อม (adrenal insufficiency) , ต่อมใต้สมองเสื่อม (pituitary insufficiency) ผู้ป่วยที่มีภาวะ น้ำตาลในเลือดต่ำ จะเกิดอาการต่างๆ เช่น เหงื่อออก , มือสั่น , ใจสั่น , สายตาพร่ามัว , สับสน , อ่อนเพลีย เป็นต้น
2. การแพ้และดื้อต่ออินสุลิน (insulin allergy and resistance) พบน้อยลงเมื่อใช้อินสุลินที่ผลิตจากคน และเป็นอินสุลินที่มีความบริสุทธิ์มากแทนการใช้อินสุลินจากวัวและหมู
3. ไขมันใต้ผิวหนังฝ่อและขยายตัว (lipoatrophy and lipohypertrophy) พบบริเวณที่ฉีดอินสุลิน
4. การบวมที่เกิดจากอินสุลิน (insulin edema) พบในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรุนแรงหรือมีภาวะสารคีโตนคั่ง (ketoacidosis) แล้วได้รับอินสุลินเพื่อควบคุมให้ระดับน้ำตาลในเลือด กลับสู่ระดับปกติ Back to List Sulfonylureas or Sulphonylureas เป็นกลุ่มยากินเพื่อรักษาโรคเบาหวานที่มียาหลายชนิด มีทั้งยาในรุ่น ที่1(first generation) และ รุ่นที่2 (second generation) แต่ยาที่ถูกจัดอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ.2542 (แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 3) ได้แก่ glibenclamide tablet , glipizide tablet และ gliclazide tablet ยาทั้ง 3 ชนิดนี้จัด เป็นยาในรุ่นที่2โดยยาในรุ่นที่2นี้จะมีความแรง (potency) สูงกว่ายาในรุ่นที่ 1 ทำให้สามารถใช้ขนาดยาที่ต่ำกว่าได้ครับ จึงมีโอกาสที่เกิดผลข้างเคียงและปฏิกิริยากับยาอื่นน้อยกว่ายาในรุ่นที่ 1 ด้วยครับ แต่ยาในรุ่น ที่ 2 นี้มีระยะเวลาการออกฤทธิ์ (duration) สั้นกว่ายาในรุ่นที่1 Sulfonylureas ออกฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดที่สำคัญ มีดังนี้
1. กระตุ้นการหลั่งอินสุลินจาก B-cell ของตับอ่อนและลดการสลายกลัยโคเจน (glycogen) ที่ตับ
2. ลดการทำลายอินสุลินที่ตับ
3. เพิ่มตัวรับของอินสุลิน (insulin receptor) และส่งเสริมการออกฤทธิ์ของอินสุลินนอกจากการออกฤทธิ์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว Sulfonylureas ยังทำให้ผู้ที่กินยานี้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วย Sulfonylureas เป็นยารักษาโรคเบาหวานที่ใช้ควบคุมภาวะน้ำตาลในเลือดสูงใน ผู้ป่วย type 2 diabetes ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ดีพอด้วยการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย และใช้ในผู้ป่วยที่ตอบสนองต่ออินสุลินน้อยกว่า 40 หน่วย (unit) ต่อวันและยังมี B-cell เหลืออยู่ อย่างไรก็ตาม ยากลุ่มนี้ห้ามนำมาใช้ในบุคคลต่อไปนี้ - ผู้ป่วย type 1 diabetes - หญิงมีครรภ์และหญิงให้นมบุตร - ผู้ป่วยที่มีหน้าที่ของตับหรือไตเสื่อมอย่างรุนแรง - ผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนอย่างเฉียบพลันของโรคเบาหวานสำหรับผลข้างเคียงของยาในกลุ่มนั้พบได้ไม่บ่อย แต่ผลข้างเคียงที่สำคัญ คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia)
Biguanides มียาเพียงชนิดเดียวที่จัดไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ.2542 (แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 3) คือ metformin ซึ่งพบว่า เป็นยาที่ออกฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้โดยไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) แม้จะใช้ในขนาดสูงก็ตาม Metformin ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการสังเคราะห์กลูโคส (gluconeogenesis) ในตับและกระตุ้นให้มีการใช้กลูโคสที่เนื้อเยื่อส่วนปลายได้ดีขึ้นโดยเฉพาะที่กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อไขมัน แต่ไม่มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินสุลินและไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มหรืออาจทำให้น้ำหนักลดลงได้บ้าง Metformin นี้ใช้ในการรักษาผู้ป่วย type 2 diabetes ที่ควบคุมอาหารแล้วยังคงมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่ อาจใช้ตามลำพังหรือใช้ร่วมกับ sulfonylureas ก็ได้ยานี้มีข้อห้ามใช้เช่นกัน โดยห้ามใช้กับบุคคลต่อไปนี้
1. ผู้ป่วยที่มีภาวะกรดแลคติคคั่ง (lactic acidosis)
2. ผู้ป่วยที่มีการทำหน้าที่ของไตหรือตับเสื่อม ทำให้กำจัดกรดแลคติคลดลง
3. ผู้ป่วยที่ติดสุราเพราะแอลกอฮอล์ในสุราจะทำให้มีการคั่งของกรดแลคติคเพิ่มขึ้นได้
4. ผู้ป่วยที่อาจมีภาวะเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน (tissue hypoxia) ได้แก่ ภาวะหัวใจวาย (heart failure) , โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน (coronary heart disease) ,โรคของหลอดเลือดส่วนปลาย (peripheral vascular disease) ,โรคที่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจ (obstructive airway disease) และภาวะที่มีการติดเชื้อในกระแส เลือด(septicemia) ภาวะที่เนื้อเยื่อขาดออกซิเจนนี้เองครับก็จะนำไปสู่การคั่งของกรดแลคติคได้อีกเช่นกัน ยาในกลุ่มนี้มีผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดในทางเดินอาหาร ได้แก่เบื่ออาหาร คลื่นไส้ และท้องเสีย แต่ก็มีผลข้างเคียงที่ต้องระวังอย่างหนึ่งคือภาวะที่มีกรดแลคติคคั่ง(lactic acidosis) ซึ่งพบน้อยมากสำหรับ metformin
Alpha-glucosidase inhibitors เป็นกลุ่มยาที่นำมาใช้เมื่อใช้ยาใน 2 กลุ่มแรกไม่ได้ผล (second line drug) หรืออาจใช้ร่วมกับ sulfonylureas เมื่อใช้ยาตัวเดียวไม่ได้ผลยาในกลุ่มนี้ที่ถูกจัดไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติพศ.2542 (แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 3) ได้แก่ acarbose tablet และ voglibose tablet ยาในกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ดังต่อไปนี้ 1. ขัดขวางการย่อยอาหารพวกแป้ง , dextrin , sucrose และ maltose ของลำไส้เล็ก
2. ยับยั้งการย่อยของ oligosaccharide เป็น monosaccharide ทำให้เกิดกลูโคสช้าลงและถูกขับออกนอกร่างกายการออกฤทธิ์ดังกล่าวของ alpha-glucosidase inhibitors ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงขึ้นทันทีหลัง อาหาร Alpha-glucosidase inhibitors นี้ถูกนำไปใช้ในการรักษาผู้ป่วย type 2 diabetes โดยอาจใช้เพียงขนาน เดียวร่วมกับการควบคุมอาหารในรายที่มีระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงมากหรือใช้ร่วมกับยารักษาโรคเบาหวาน ชนิดอื่น เช่น sulfonylureas ดังกล่าวแล้วเพื่อให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้นส่วนผลข้างเคียงของยาในกลุ่มนี้ที่พบบ่อยจะเป็นอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด (flatulence) , ท้องเสีย (diarrhea) , มีเสียงดังในท้อง (borborygmus) และปวดท้อง (abdominal pain) ซึ่งล้วนเกิดจากการที่ยาไปขัดขวางการย่อยอาหารพวกแป้งและคาร์โบไฮเดรตให้ช้าลงส่วนผลข้างเคียงทางระบบ (systemic side effect) อย่างเช่น ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) พบน้อยแต่ยาในกลุ่มนี้ห้ามใช้ในบุคคลต่อไปนี้
1. ผู้ป่วยที่มีลำไส้อักเสบ , ไส้เลื่อน (hernia) , ลำไส้อุดตัน (intestinal obstruction)
2. หญิงมีครรภ์
3. ผู้ป่วยที่มีหน้าที่ของตับเสื่อม
4. ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการย่อยและการดูดซึมอาหาร
Rosiglitazone เป็นยาที่ออกฤทธิ์เพิ่มความไวต่ออินสุลินที่ตับ , กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อไขมัน ยานี้ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) แต่ทำให้เกิดการบวมน้ำ (edema)
Repaglinide เป็นยาที่ออกฤทธิ์ระยะเวลาสั้นๆ เร่งการหลั่งอินสุลินจาก B-cell คล้ายกับ sulfonylureas ดังนั้นผู้ป่วยจึงต้องมี B-cell เหลืออยู่ด้วยครับ เพราะอินสุลินหลั่งมาจาก B-cell นอกจากนี้ยานี้ยังออกฤทธิ์ ยับยั้งการสร้างกลูโคสของตับ (hepatic gluconeogenesis) ยานี้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) ได้แต่ไม่รุนแรงนัก ยา 2 ตัวหลังนี้จัดเป็นยาใหม่ครับ ตอนนี้ยังไม่ได้จัดอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ.2542 นอกจากที่กล่าวมาแล้วก็ยังมีการรักษาโรคเบาหวานโดยการใช้สมุนไพร ซึ่งทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ได้มีการศึกษาการใช้บอระเพ็ดในหนูทดลองก็พบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีแต่เมื่อทดลองในมนุษย์กลับลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ผลดีพอ แต่ก็มีบางคนที่ไปซื้อบอระเพ็ดแค็ปซูลมากิน แล้วได้ผลในการลดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างไรก็ตามตอนนี้ยังไม่มีสมุนไพรที่ได้รับการยืนยันแน่ชัดว่าใช้รักษาโรคเบาหวานได้ดี

สามารถเข้าดุได้http://www.geocities.com/nananaru/med/dmtreat.html

โรคร้ายในปัจจุบัน>โรคเบาหวาน_>


!_ประเภทของเบาหวาน _<>เบาหวาน สามารถแบ่งออกได้เป็น2ชนิด ได้แก่
โรคเบาหวานชนิดที่ 1
เกิดจากภูมิต้านทานของร่างกายทำลายเซลล์ ซึ่งสร้างอินซูลินในส่วนของตับอ่อนทำให้ร่างกายหยุดสร้างอินซูลินหรือสร้างได้น้อยมากดังที่เรียกว่า โรคภูมิต้านทานตัวเอง หรือ ออโตอิมมูน(autoimmune) ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จึงจำเป็นต้องฉีดอินซูลิน เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือดระยะยาว และถ้าเป็นรุนแรง จะมีการคั่งของสารคีโตน(ketones) สารนี้จะเป็นพิษต่อระบบประสาททำให้หมดสติถึงตายได้
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นเบาหวานที่พบเห็นกันเป็นส่วนใหญ่สาเหตุที่แท้จริงนั้นยังไม่ทราบชัดเจน แต่มีส่วนเกี่ยวกับ พันธุกรรม นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์กับภาวะ น้ำหนักตัวมาก และขาดการออกกำลังกาย มีลูกดก อีกทั้งวัยที่เพิ่มขึ้น เซลล์ของผู้ป่วยยังคงมีการสร้างอินซูลินแต่ทำงานไม่เป็นปกติ เนื่องจากมีภาวะดื้อต่ออินซูลินทำให้เซลล์ที่สร้างอินซูลินค่อยๆถูกทำลายไปบางคนเริ่มมีภาวะแทรกซ้อนโดยไม่รู้ตัว โดยอาจจะใช้ยาในการรับประทาน และบางรายต้องใช้อินซูลินชนิดฉีดเพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือดนอกจากนี้ เบาหวาน ยังมีสาเหตุมาจากการใช้ยาด้วย เช่น สเตอรอยด์ ยาขับปัสสาวะ ยาเม็ดคุมกำเนิด
ผู้ที่มีโอกาสเป้นโรคเบาหวาน
เบาหวาน พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากในคนอายุกว่า 40 ปีขึ้นไป คนที่อยู่ในเมืองมีโอกาสเป็น เบาหวานมากกว่าคนในชนบทคนอ้วนที่น้ำหนักเกินโดยดูจากดัชนีมวลกายผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย และหญิงที่มีลูกดกโดยเฉพาะผู้มีประวัติคลอดบุตรมีน้ำหนักแรกคลอดมากกว่า4กิโลกรัม จะมีโอกาสเป็น เบาหวานได้มากขึ้น แต่ในปัจจุบันลักษณะการบริโภค และกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันส่งผลให้มีคนเป็น เบาหวาน เพิ่มมากขึ้น และการพบผู้ป่วยที่อายุน้อยที่เป็น เบาหวาน ก็เพิ่มสูงขึ้น
การวินิจฉัย>เบาหวาน
หากสงสัยว่าเป็น เบาหวาน ควรไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลโดยการอดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิด ตั้งแต่เที่ยงคืนแล้วไปเจาะเลือดในตอนเช้าเพื่อดูระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร6ชั่วโมง (FPG) ซึ่งคนปกติจะมีค่าต่ำกว่า 110 มิลลิกรัม ต่อเลือด 100 มิลลิลิตร หากพบมีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 126 มิลลิกรัม ในการตรวจอย่างน้อย 2ครั้งก็วินิจฉัยได้ว่าเป็นเบาหวาน และยิ่งมีค่าสูงเท่าใดก็แสดงว่ามีความรุนแรงของการเป็นเบาหวานเพิ่มมากขึ้น

สามารถเข้ามาดูได้http://thaidiabetes.blogspot.com/2008/11/blog-post_45.html

โรคร้ายในปัจจุบัน>โรคเบาหวาน_>


โรคเบาหวานคืออะไร
อาหารที่รับประทานเข้าไปส่วนใหญ่จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน เซลล์ในตับอ่อนชื่อเบต้าเซลล์เป็นตัวสร้างอินซูลิน และอินซูลินเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าเซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดเนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพของอินซูลินลดลงเนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอยู่เป็นเวลานานจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ เช่น ตา ไต และระบบประสาท
ฮอร์โมนอินซูลินมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างไร
อินซูลินเป็นฮอร์โมนสำคัญตัวหนึ่งของร่างกาย สร้างและหลั่งจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อนทำหน้าที่เป็นตัวพาน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย เพื่อเผาผลาญเป็นพลังงานในการดำเนินชีวิตถ้าขาดอินซูลินหรือการออกฤทธิ์ไม่ดีร่างกายจะใช้น้ำตาลไม่ได้ จึงทำให้น้ำตาลในเลือดสูงมีอาการต่างๆของโรคเบาหวาน นอกจากมีความผิดปกติของการเผาผลาญอาหารคาร์โบไฮเดรตแล้ว ยังมีความผิดปกติอื่น เช่น มีการสลายของสารไขมันและโปรตีนร่วมด้วย
ความรู้ทั่วไปเรื่องเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง และก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดปัญหากับ ฟันและเหงือก ตา ไต หัวใจ หลอดเลือดแดง ท่านผู้อ่านสามารถป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆได้โดยการปรับวิธีการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และยาให้เหมาะสม
คนปกติก่อนรับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือด 70-110 มก.% หลังรับประทานอาหารแล้ว 2 ชม.ระดับน้ำตาลไม่เกิน 140 มก.% ผู้ที่ระดับน้ำตาลสูงไม่มากอาจจะไม่มีอาการอะไร การวินิจฉัยโรคเบาหวานจะทำได้โดยการเจาะเลือด อาการที่พบได้บ่อย
คนปกติมักจะไม่ต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะในเวลากลางดึกหรือปัสสาวะอย่างมากไม่เกิน 1 ครั้ง เมื่อน้ำตาลในกระแสเลือดมากกว่า180มก.% โดยเฉพาะในเวลากลางคืนน้ำตาลจะถูกขับออกทางปัสสาวะทำให้น้ำถูกขับออกมากขึ้น จึงมีอาการปัสสาวะบ่อยและเกิดการสูญเสียน้ำ และอาจจะพบว่าปัสสาวะมีมดตอม ผู้ป่วยจะหิวน้ำบ่อยเนื่องจากต้องทดแทนน้ำที่ถูกขับออกทางปัสสาวะ อ่อนเพลียน้ำหนักลดเกิดเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลจึงย่อยสลายส่วนที่เป็นโปรตีนและไขมันออกมาผู้ป่วยจะกินเก่งหิวเก่งแต่น้ำหนักจะลดลงเนื่องจากร่างกายขาดน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานไม่ได้ จึงมีการสลายพลังงานจากไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อ อาการอื่นๆที่อาจเกิดได้แก่ การติดเชื้อ แผลหายช้า คันตามผิวหนังโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณช่องคลอดของผู้หญิงสาเหตุของอาการคันเนื่องจากผิวแห้งไปหรือมีการอักเสบของผิวหนังมองเห็นภาพไม่ชัด สายตาพร่ามัวต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงสายตา เช่น สายตาสั้น ต่อกระจก น้ำตาลในเลือดสูงชาไม่มีความรู้สึกเจ็บตามแขนขาหย่อนสมรรถภาพทางเพศเนื่องจากน้ำตาลสูงนานๆทำให้เส้นประสาทเสื่อมเกิดแผลที่เท้าได้ง่าย เพราะไม่รู้สึกอาเจียน น้ำตาลในกระแสเลือดสูงเมื่อเป็นโรคนี้ระยะหนึ่งจะเกิดโรคแทรกซ้อนที่เกิดกับหลอดเลือดเล็กเรียก microvacular หากมีโรคแทรกซ้อนนี้จะทำให้เกิดโรคไต เบาหวานเข้าตา หากเกิดหลอดเลือดเลือดแดงใหญ่แข็งเรียก macrovascular โดยจะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อัมพาต หลอดเลือดแดงที่ขาตีบนอกจากนั้นยังอาจจะเกิดปลายประสาทอักเสบ neuropathic ทำให้เกิดอาการชาขา กล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นประสาทอัตโนมัติ



ขั้นตอนที่8
เมื่อคลิกเผยแพร่บทความก็จะปรากฏดังภาพที่เห็นดังนี้
ขั้นตอนที่7
เมื่อทำขั้นตอนที่5เสร็จแล้วให้นำURLที่เราcoppyไว้แล้ววางลงบนพื้นที่โดยทำการตั้งชื่อเรื่องป้ายกำกับเสร็จเรียบร้อย